รายละเอียด
ดาวน์โหลด Docx
อ่านเพิ่มเติม
การทำสมาธิ ทำไมเราจึงควรทำสมาธิ?ทำไมเราจึงควรนั่งสมาธิ? เพื่อให้จิตใจของเราสงบ ที่จะรับคำสอนจากสวรรค์ จากอาณาจักร ของพระเจ้า หรือจากโลกที่สูงกว่า เราเอาแต่อธิษฐานและขออยู่เสมอว่า “ขอพระองค์ประทานปัญญาให้ฉัน ขอพระองค์ประทานสิ่งนั้นให้ฉัน” แต่เมื่อพระเจ้าต้องการจะตรัส พระองค์ก็ไม่มีโอกาส เพราะเราต่างยุ่งอยู่ตลอดเวลา เราพูด เราถาม และเราไม่ฟัง คุณเข้าใจมั้ย? ดังนั้น การทำสมาธิก็คือช่วงเวลาแห่งการฟัง เหมือนกับเวลา ที่คุณถามคำถามฉัน คุณต้องอยู่นิ่ง ๆ สักพัก จากนั้น ฉันจะมีโอกาส บอกสิ่งที่ฉันต้องการบอก หรือสิ่งที่คุณต้องการรู้ การทำสมาธิก็เป็นเช่นนี้ นั่งนิ่ง ๆ และรับข้อความ มิฉะนั้น พระเจ้าต้องการจะบอกคุณ ล้านเรื่อง และคุณไม่มีเวลาที่จะฟังมัน คุณยุ่งเกินไปกับการพูดคุย การสวด การร้องเพลง การกราบ และการนับสายประคำ การจะทำทั้งหมดนี้ก็ไม่เป็นไร ฉันไม่ได้หมายความว่ามันไม่ดี แต่ว่าเราจะต้อง อยู่นิ่งสักพัก เพื่อให้พระเจ้ามีโอกาสที่จะสื่อสารทุกคนรู้วิธี ทำสมาธิอยู่แล้ว แต่คุณ ทำสมาธิผิดวิธี บางคนนึกถึงสาวสวย บางคนนึกถึงเงิน บางคนนึกถึงธุรกิจ ทุกครั้งที่คุณจดจ่ออย่างเต็มที่ ที่จุดเดียว และสุดใจต่อสิ่งหนึ่งสิ่งใด นั่นก็คือสมาธิ ทีนี้ ฉันใส่ใจแต่พลังภายใน ความเมตตา ความรัก คุณสมบัติ แห่งความเมตตาของพระเจ้า และนั่นก็คือสมาธิของฉัน หากจะทำอย่างเป็นทางการ เราควรนั่งในมุมเงียบ ๆ และอยู่คนเดียว นั่นคือ กระบวนการของการทำสมาธิ แต่ไม่ใช่ว่าเราจะได้ผล อะไรบางอย่าง จากการนั่งเงียบ ๆ อยู่ในมุมหนึ่ง คุณต้องติดต่อกับ พลังภายในนั้นก่อน และทำสมาธิ โดยใช้พลังภายในนั้น นี่เรียกว่าการตื่นรู้ของตนเอง เราจะต้องปลุกตัวตนที่แท้จริงภายใน ตัวเราให้ตื่นขึ้น และปล่อยให้พระองค์ ทำสมาธิ ไม่ใช่ให้สมองของมนุษย์ และความเข้าใจตามแบบมนุษย์ ของเราทำสมาธิ ไม่ใช่อย่างนั้น คุณก็จะนั่งคิดเรื่องต่าง ๆ มากมาย จนไม่อาจ ระงับกิเลสตัณหาได้ แต่เมื่อคุณตื่นรู้แล้ว ตัวตนภายในที่แท้จริง พลังของพระเจ้าที่อยู่ภายในคุณ จะควบคุมทุกสิ่งทุกอย่าง คุณจะรู้จักสมาธิที่แท้จริงได้ ก็ต่อเมื่อคุณถูกปลุกให้ตื่น โดยการ ถ่ายทอดโดยอาจารย์ที่แท้จริงเท่านั้น มิฉะนั้น มันก็แค่เสียเวลา ไปกับการเล่นมวยปล้ำ กับร่างกายและจิตใจเท่านั้น”ความหมายที่แท้จริง ของการทำสมาธิ“ตอนนี้ ไม่ใช่ว่า เราต้องนั่งอยู่ตรงนั้นแล้ว คิดถึงพระเจ้าตลอดเวลา เราแค่ต้องรวมเป็นหนึ่งกับพระเจ้า และเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า และอยู่ในจิตสำนึก ของพระองค์อยู่เสมอ นั่นแหละคือความหมาย ของอาณาจักรของพระเจ้า ถ้าคุณไปโบสถ์เป็นครั้งคราว ในวันอาทิตย์ก็เป็นอีกวิธีหนึ่ง ก็เป็นแสวงหาอาณาจักรของพระเจ้า แต่คงไม่ใช่ วิธีที่มีประสิทธิผลมากนัก เพราะพระเยซูตรัสกับเราว่า อาณาจักรของพระเจ้า ไม่ได้มาโดยการสังเกต แต่อยู่ภายในตัวเรา หากเป็นเช่นนั้น เราจะทำอย่างไร? กระนั้น เราต้องทำสมาธิ แม้จะกล่าวกันว่า อาณาจักรของพระเจ้า ไม่ได้มาจากการสังเกต หมายความว่าไม่ได้มา ด้วยการทำสมาธิด้วยซ้ำ แต่มันทำให้เรามีสติรู้ตัวมากขึ้น อาณาจักรของพระเจ้า ไม่ได้เกิดขึ้นจากการทำสมาธิ แต่ด้วยการทำสมาธิ เราจึงตระหนักถึง อาณาจักรของเรา ซึ่งมีอยู่ภายในตัวเราอยู่แล้วการทำสมาธิของเรา เราเชื่อ เป็นแผนดั้งเดิม ของพระเจ้า ที่เราควรจะติดต่อกับพลังของพระเจ้า และพระวจนะของพระเจ้า ในพระคัมภีร์กล่าวไว้ว่า ในปฐมกาลนั้น พระวจนะมีอยู่ และพระวจนะนั้น อยู่กับพระเจ้า และพระวจนะนั้น คือพระเจ้า (ยอห์น 1:1)ดังนั้น เราจึงภาวนาถึงพระวจนะ ซึ่งเป็นความสั่นสะเทือนภายใน พระวจนะที่บ่งชี้ถึงความถี่ และพลังแห่งพระเจ้า เพราะเราเป็นวิหารของพระเจ้า และพระเจ้าตรัสกับเรา ด้วยวิธีนี้ พระองค์ปรากฏแก่เรา ในรูปของแสง (แห่งสวรรค์ภายใน) และตรัสกับเราในรูป ของเสียง (แห่งสวรรค์ภายใน) เมื่อเห็นแสง (แห่งสวรรค์ภายใน) เราจะเห็นสิ่งอื่น ๆ อีกมากมาย เมื่อได้ยินพระวจนะ เราจะได้ยินสิ่งอื่น ๆ อีกมากมาย เราได้ยินคำสอน โดยตรงจากพระเจ้า นี่เองคือสิ่งที่ เราเพ่ง แต่เมื่อเรามีครูผู้ทรงพลัง คุณก็อาจสวดภาวนาภายใน ต่อท่าน หากคุณมีความยากลำบาก ในการทำสมาธิ หรือหากคุณอยู่ห่างไกล จากพระเจ้ามากเกินไป คุณอาจต้องการคนกลาง ดังนั้นคุณจึงยัง อ่อนแอเล็กน้อย เหมือนทารกที่ต้องให้พ่อแม่อุ้ม เพื่อให้เดินได้ แต่ต่อมา คุณก็เดินคนเดียว คุณต้องรู้ว่า เป้าหมายของคุณ คือการเดินคนเดียว และเติบโตขึ้น ไม่ใช่พึ่งพาพ่อแม่ตลอดไป”นั่งสมาธิอย่างไร?“เพียงหันความสนใจของคุณไปยัง สิ่งที่คุณควรสนใจ ซึ่งก็คือพระเจ้า แทนที่จะสนใจเงินหรือสิ่งอื่น ๆ คุณมีความสามารถ ในการนั่งสมาธิอยู่แล้ว มิฉะนั้น คุณจะไม่สามารถทำธุรกิจ หรือดูแลลูก ๆ ของคุณได้ ถ้าคุณไม่มีความสนใจใด ๆ ก็แค่หันเข้าสู่ อาณาจักรของพระเจ้า เราจะสอนคุณอย่างถูกต้อง มากขึ้นตามเวลา แค่ว่าขั้นตอน ก่อนและหลัง ต้องใช้เวลาในการอธิบาย เพื่อที่คุณจะได้รู้ว่า มีอะไรรอคุณอยู่ บนเส้นทางสู่สวรรค์ ในระดับจิตสำนึกที่แตกต่างกัน ดังนั้นจึงต้องใช้เวลาสักระยะหนึ่ง มิฉะนั้น คุณก็แค่ หลับตาแล้วได้รับ การรู้แจ้งทันที [...]“มันจะมาเป็นธรรมชาติ หลังจากฝึกฝนไปสักระยะหนึ่ง มันจะไม่ต้องใช้ความพยายาม คุณจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่า คุณคิดหรือไม่คิด คุณแค่นั่งอยู่ตรงนั้นแล้วมันก็เกิดขึ้น แสงสว่าง (แห่งสวรรค์ภายใน) จะมา เสียง (แห่งสวรรค์ภายใน) จะมา และคุณจะไม่รู้เรื่องราวทั้งหมด และเมื่อไรก็ตาม ที่คุณอยากจะออกมาจากมัน คุณก็จะตระหนักถึงทุกสิ่งอีกครั้ง โอเคไหม? มันง่ายมาก”